จุดเริ่มต้น Silicon Valley Bank (SVB) และ Signature Bank (SB)
Silicon Valley Bank (SVB) ก่อตั้งขึ้นในปี 2526 โดยมีชื่อมาจากย่านที่มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีมากอย่าง Silicon Valley ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางโลกเทคโนโลยีชั้นสูง และนวัตกรรมส่วนใหญ่ของโลก และยังเป็นที่ตั้งของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple เป็นต้น SVB เป็นสถาบันการเงินที่ร่วมทุนและลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพต่าง ๆ หรือที่เรียกว่า Venture Capital (VC) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทเทคโนโลยี ในปี 2565 SVB ถูกจัดอันดับให้เป็นบริษัทปล่อยกู้ที่ใหญ่ที่สุดอันดับที่ 16 ในสหรัฐอเมริกา โดยมีสินทรัพย์ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 ประมาณ 211.79 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีสัดส่วนเงินฝากส่วนที่ไม่ได้รับความคุ้มครอง (uninsured deposits) คิดเป็นร้อยละ 94 ของจำนวนเงินฝากทั้งหมด
Signature Bank (SB) เริ่มดำเนินกิจการในปี 2544 โดยแต่เดิมมุ่งเน้นในธุรกิจ Private Banking สำหรับกลุ่มลูกค้าตลาดกลางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สำนักงานกฎหมาย และสินทรัพย์ดิจิทัล โดยนับแต่ปี 2562 SB ได้ขยายการดำเนินธุรกิจเข้าไปสู่อุตสาหกรรมด้านสินทรัพย์ดิจิทัล จนกลายเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินหลักที่ปล่อยกู้ให้แก่อุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล อีกทั้งมีสัดส่วนเงินฝากกระจุกตัวอยู่ที่กลุ่มลูกค้าจากอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นนัยสำคัญ โดยเงินฝากจากกลุ่มลูกค้าดังกล่าวเติบโตในอัตราที่สูงถึงร้อยละ 263 ในปี 2564 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และตามข้อมูลจากหน่วยงานกำกับด้านการเงินแห่งรัฐนิวยอร์ก (New York state's Department of Financial Services) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 ระบุว่า SB มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 110,360 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยแบ่งเป็นเงินฝาก 88,590 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
กรณีปัญหาของ Silicon Valley Bank (SVB): ขาดสภาพคล่องจากการบริหารอัตราดอกเบี้ยที่ผิดพลาด (Duration Mismatch)
กรณีของ SVB พบว่า สถาบันการเงิน (สง.) ดังกล่าวประสบปัญหาปริมาณเงินฝากลดลงต่อเนื่องตลอดปี 2565 อันเป็นผลจากการที่ธนาคารกลางประเทศสหรัฐอเมริกา (Federal Reserve: Fed) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเชิงรุก บริษัทเทคโนโลยีจึงต้องถอนเงินที่ฝากไว้กับ SVB เพื่อใช้ในธุรกิจ และบางกลุ่มถอนเงินฝากเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่ผลตอบแทนสูงกว่า โดยข้อมูลจากรายงานทางการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 ของ SVB พบว่า สัดส่วนของเงินฝากมีการกระจุกตัวอยู่ที่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีประเภท Early stage technology และ Technology คิดเป็นสัดส่วนรวมร้อยละ 51 ของเงินฝากทั้งหมด นอกจากนี้ SVB ยังมีการบริหารสินทรัพย์และหนี้สินที่ผิดพลาด ในปี 2563-2564 ซึ่งเป็นยุคดอกเบี้ยต่ำ และ SVB นำเงินฝากจำนวนมากไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนคงที่
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ SVB ได้ขายหุ้น SVB มูลค่า 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อมาในวันที่ 8 มีนาคม 2566 บริษัท Moody’s Investors Service (Moody’s) ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของ SVB จาก “stable” สู่ “negative” นอกจากนี้ การถอนเงินของกลุ่มลูกค้าหลักจำนวนมาก ทำให้ SVB ขาดสภาพคล่อง ดังนั้น เพื่อไม่ให้ผิดนัดชำระเงินฝากลูกค้า SVB จึงจำเป็นต้องขายขาดทุนพอร์ตพันธบัตรระยะยาว ออกไปจำนวน 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ซึ่งเงินสำรองของ SVB จำนวนมากอยู่ในพันธบัตรระยะยาว) พร้อมประกาศแผนขายหุ้นเพิ่มทุน และรับรู้ผลขาดทุนจริงทันที 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อฐานะการดำเนินงานของ SVB อีกทั้ง ผลขาดทุนยังส่งผลให้ส่วนทุนของ SVB ลดลง SVB จึงจำเป็นต้องเพิ่มทุนอีก 2.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านการประกาศขายหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพ แต่แผนการเพิ่มทุนดังกล่าวไม่สำเร็จ
จากปัญหาดังกล่าวส่งผลให้มูลค่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของ SVB ลดลงอย่างต่อเนื่อง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสหรัฐอเมริกา (SEC) จึงสั่งหยุดการซื้อขายหุ้น ทั้งนี้ ผลกระทบจากผลการขาดทุนจำนวนสูงจากการขายพันธบัตร และการถูกปรับลดความน่าเชื่อถือโดยบริษัท Moody’s ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่น ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ Bank Run และนำไปสู่การประกาศเพิกถอนใบอนุญาต SVB ในวันที่ 10 มีนาคม 2566 โดยสินทรัพย์และเงินฝากของ SVB ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของสถาบันประกันเงินฝากประเทศสหรัฐอเมริกา (Federal Deposit Insurance Corporation: FDIC)
กรณีปัญหาของ Signature Bank (SB): ขาดสภาพคล่องจากแนวโน้มของตลาด Cryptocurrency และปัญหาเกิดจากทั้งเรื่องของธรรมมาภิบาล (Governance) และภาพรวมของอุตสาหกรรมที่ชะลอตัวลง
ผลกระทบจากการปิด SVB ได้ลุกลามสู่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลประเภท Cryptocurrency และส่งผลกระทบลุกลามมายัง SB ซึ่งเป็น สง. รายใหญ่ที่ปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลประเภท Cryptocurrency โดยกลุ่มบริษัทดังกล่าวได้รับผลกระทบจากราคา Cryptocurrency ที่ลดลง และมีสัญญาณการไหลออกของเงินฝาก อนึ่ง SB ไม่มีกลไกในการเสริมสภาพคล่องและการรองรับการขาดสภาพคล่อง อีกทั้ง การบริหารจัดการของ สง. ยังให้ความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจด้วยกลยุทธ์ที่เน้นการเติบโตอย่างรวดเร็ว (aggressive growth) มากกว่าการบริหารจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม มีการกระจุกตัวของเงินฝากส่วนที่เกินวงเงินโดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 มีสัดส่วนที่สูงถึงร้อยละ 72 ของสินทรัพย์ทั้งหมด[1] ขณะที่ประเภทของเงินฝากส่วนใหญ่จะเป็นเงินฝากจากลูกค้ากลุ่มธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 16 ของสินทรัพย์ทั้งหมด (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565) ดังนั้น เพื่อป้องกันการเกิดความเสี่ยงเชิงระบบ SB จึงได้ถูกเพิกถอนใบอนุญาต ในวันที่ 12 มีนาคม 2566 และมีการเข้าควบคุมโดย FDIC พร้อมจัดตั้ง Signature Bridge Bank N.A. ในการแก้ไขปัญหา
มาตรการในการแก้ไขปัญหาโดย FDIC กรณีปัญหาของ SVB
หลังจาก SVB ถูกเพิกถอนใบอนุญาตเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566 FDIC ได้รับการแต่งตั้งเป็น Receiver และได้จัดตั้งDeposit Insurance National Bank of Santa Clara (DINB) เพื่อรับโอนเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองภายใต้วงเงินคุ้มครอง 250,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ของผู้ฝากเงินของ SVB และ FDIC ยังได้ประกาศมาตรการคุ้มครองผู้ฝากเงินที่มีเงินฝากมูลค่าสูงกว่าวงเงินคุ้มครองตามกฎหมาย โดยกำหนดให้มีการจ่าย advance dividend ให้แก่ผู้ฝากเงินภายในสัปดาห์ถัดไป โดยจะออกเอกสารรับรองเป็น Receivership Certificate ให้แก่ผู้ฝากเงิน ในวันที่ 12 มีนาคม 2566 Fed กระทรวงการคลัง (Treasury Department) และ FDIC ได้ประกาศมาตรการรองรับกรณีระบบ สง. ประสบปัญหาสภาพคล่องBank Term Funding และมาตรการคุ้มครองผู้ฝากเงินทุกรายเต็มจำนวนโดยผู้ฝากสามารถเข้าถึงเงินฝากได้ในวันที่ 13 มีนาคม 2566 เป็นต้นไป ตามมาตรการ Systemic Risk Exception[2] เพื่อเสริมสร้างความเชี่อมั่นต่อระบบสถาบันการเงินสหรัฐฯ ป้องกันการเกิดปัญหาลุกลามเป็นวงกว้างจนกระทบเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ในวันที่ 13 มีนาคม 2566 FDIC ยังได้มีการจัดตั้ง Bridge Bank [3] ซึ่งดำเนินการโดย FDIC คือ Silicon Valley Bridge Bank, N.A., เพื่อรับโอนเงินฝากทั้งหมดจาก SVB โดยเปิดให้บริการในวันที่ 13 มีนาคม 2566 เป็นต้นไป ทั้งนี้ Silicon Valley Bridge Bank, N.A., ให้บริการผู้ฝากเงินและลูกหนี้ของ SVB ให้สามารถดำเนินธุรกรรม ดังนี้ 1) การให้บริการ Online Banking 2) ATM 3) บัตรเดบิต 4) เช็ค 5) ชำระสินเชื่อ
วันที่ 14 มีนาคม 2566 มีการประกาศจาก CEO คนใหม่ Tim Mayopoulos ที่ได้ส่งจดหมายถึงลูกค้าเก่าว่าได้เปิดทำการธนาคารตามปกติ โดยทาง FDIC ได้โยกย้ายทรัพย์สินและเงินฝากจาก SVB ไปที่ Silicon Valley Bridge Bank, N.A ซึ่งเป็นสถาบันการเงินชั่วคราวเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติการเงินต่อเนื่องที่อาจส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อระบบสถาบันการเงิน ต่อมาวันที่ 15 มีนาคม 2566 FDIC ขอให้ธนาคารที่สนใจเข้าซื้อกิจการยื่นประมูล ภายในวันที่ 17 มีนาคม 2566 โดยผู้ประมูลที่มีกฎบัตรของธนาคารเท่านั้นถึงจะได้รับอนุญาตศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเงินของธนาคารก่อนยื่นข้อเสนอได้
ทั้งนี้ ธนาคารที่เข้าซื้อ SVB ในวันที่ 26 มีนาคม 2566 คือ First Citizen Bank ซึ่งดำเนินการผ่านข้อตกลงเพื่อแบ่งรับภาระส่วนที่เสียหาย (Loss-sharing Agreements) ระหว่าง FDIC กับ First Citizen Bank โดย FDIC ในฐานะผู้ชำระบัญชี (receiver) และ First Citizen Bank จะแบ่งรับส่วนขาดทุนและเงินที่ได้รับคืนจากการชำระสินเชื่อ ทั้ง 2 ฝ่ายได้จัดทำข้อตกลง Loss-sharing Agreement สำหรับสินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจ (Commercial loan) ระยะเวลา 5 ปี โดยกำหนดให้ FDIC ชำระค่าชดเชยที่อัตราร้อยละ 50 ของผลขาดทุนของ Commercial loan มูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไปให้แก่ First Citizen Bank ขณะที่ First Citizen Bank จะนำส่งร้อยละ 50 ของเงินที่ได้รับคืนจากการชำระสินเชื่อ (recoveries)
ให้แก่ FDIC[4]
กรณีปัญหาของ SB
หลังจาก SB ถูกเพิกถอนใบอนุญาตเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2566 FDIC ได้รับการแต่งตั้งเป็น Receiver และได้ประกาศคุ้มครองผู้ฝากทุกรายของ SB เต็มจำนวน อีกทั้ง มีการจัดตั้ง Bridge Bank คือ Signature Bridge Bank, N.A., ที่อยู่ภายใต้ความควบคุมของ FDIC เพื่อรับโอนเงินฝากทั้งหมดจาก SB ต่อมาในวันที่ 13 มีนาคม 2566 FDIC ได้ประกาศให้ผู้ฝากเงินและลูกหนี้สามารถทำธุรกรรมกับธนาคาร Signature Bridge Bank, N.A. ดังนี้ 1) การให้บริการทางออนไลน์ (Online Banking) 2) ATM 3) บัตรเดบิต 4) เช็ค 5) ชำระสินเชื่อ
ทั้งนี้ Flagstar Bank ได้เข้าซื้อกิจการของ SB ในวันที่ 20 มีนาคม 2566 และรับโอนเงินฝากทั้งหมดของ SB ยกเว้นเงินฝากของภาคธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และพอร์ตสินเชื่อบางส่วนซึ่ง FDIC ในฐานะผู้ชำระบัญชีจะดำเนินการจำหน่ายสินเชื่อดังกล่าวในภายหลัง