GLOBAL TREND : โอนผิดชีวิตเปลี่ยน : รู้จัก Misdirected Money Transfer - บทเรียนจากเกาหลีใต้

  • เข้าใจ “Misdirected Money Transfers” แบบง่าย ๆ

  • ทำไม “เงินโอนผิดบัญชี” จึงเกี่ยวข้องกับงานคุ้มครองเงินฝาก 

  • ประโยชน์ที่ประชาชนได้รับ และ Value Added ของงาน

“Misdirected Money Transfers” เมื่อโอนเงินผิดชีวิตก็ปั่นป่วน! (KDIC case)

ในยุคที่เรากดโอนเงินได้ง่ายแค่ปลายนิ้วบนมือถือ ความสะดวกนี้ก็มาพร้อม “กับดัก” ที่หลายคน อาจเคยเจอ “การโอนเงินผิดบัญชี” หรือที่เรียกว่า “Misdirected Money Transfer” เช่น กดเลข บัญชีผิดไปหนึ่งตัว หรือเลือกชื่อผู้รับผิด ทำให้เงินของเราไหลไปหาคนแปลกหน้า แบบไม่ตั้งใจ และ ปัญหามักจะตามมาทันทีเพราะถ้าผู้รับ “ไม่ยอมคืนเงิน” เราแทบไม่มีทางเอากลับมาได้ง่าย ๆ

ในเกาหลีใต้มีสถิติแต่ละปีที่ผู้โอนเงินผิดบัญชีหลายแสนราย มูลค่าหลายแสนล้านวอน และ ครึ่งหนึ่งไม่สามารถเอาคืนได้นี่จึงไม่ใช่ปัญหาส่วนตัวเล็ก ๆ แต่กลายเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อ ความเชื่อมั่นในระบบการเงินโดยรวม รัฐบาลเกาหลีจึงได้มอบหมายให้Korea Deposit Insurance Corporation (KDIC) มาดูแลกรณีเงินโอนผิดบัญชีซึ่งถือเป็นภารกิจที่เพิ่มจากเดิมจากการ คุ้มครองเงินฝาก

 

ระบบนี้ทำงานอย่างไร

ก่อนมีระบบ : หากโอนผิดต้องไล่ตามเอง ฟ้องศาลเอง ใช้เวลา 6 เดือนขึ้นไป และเสียค่าใช้จ่าย 

หลังมีระบบใหม่ (เริ่มปี2021) :

  • ผู้ส่งสามารถยื่นเรื่องผ่าน KDIC
  • KDIC จะทำหน้าที่“แทน” ผู้ส่ง ตามผู้รับผิดบัญชีเมื่อผู้โอนแจ้งปัญหา KDIC จะติดต่อผู้รับเงิน ผิดและดำเนินการตามกฎหมาย
  • ใช้ศาลเป็นตัวช่วย - หากผู้รับไม่คืน KDIC จะยื่นคำสั่งศาลเพื่อบังคับจ่าย
  • เมื่อได้เงินคืน KDIC จะโอนกลับให้เจ้าของ หักเพียงค่าดำเนินการ 5–10% ผู้โอนก็จะได้เงินกลับมา โดยไม่ต้องเสียเวลาและเงินไปกับการฟ้องร้องเอง

กระบวนการตามแผนภาพด้านล่าง

ผลลัพธ์ : ระยะเวลาตามเงินสั้นลงเหลือเฉลี่ยแค่2 เดือน และผู้รับมักคืนเงินโดยสมัครใจ เพราะรู้สึก เกรงใจเมื่อเป็น “หน่วยงานรัฐ” มาทวงถามเงิน

 

ประโยชน์ที่ประชาชนได้รับ

  • ได้เงินคืนง่ายขึ้นและเร็วขึ้น (เดิมใช้เวลากว่า 6 เดือนและมีค่าทนาย แต่มีKDIC ช่วย ใช้เวลาเฉลี่ย เพียง 2 เดือน)
  • ลดค่าใช้จ่ายและความยุ่งยาก: ไม่ต้องแบกรับภาระฟ้องร้องเอง
  • สร้างความมั่นใจในระบบการเงิน: เมื่อมีหน่วยงานสาธารณะช่วยจัดการ ประชาชนมั่นใจได้ว่าเงิน ของตนมีคนปกป้อง

Value added ที่มีต่อสังคมและหน่วยงานคุ้มครองเงินฝาก

งาน “ช่วยเหลือเงินโอนผิดบัญชี” แสดงให้เห็นว่าหน่วยงานคุ้มครองเงินฝากไม่ใช่แค่จ่ายคืนเมื่อ สง. ล้มเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็น “เกราะป้องกันผู้บริโภคทางการเงินในยุคดิจิทัล” อีกด้วย โดยสร้าง Value Added 3 ด้านสำคัญ:

  • คุ้มครองผู้บริโภคมากขึ้น – ปรับตัวรับมือความเสี่ยงใหม่ๆ จากฟินเทค ก้าวสู่การปกป้องผู้บริโภค ในโลกการเงินดิจิทัล 
  • ลดต้นทุนทางสังคม – ลดจำนวนคดีฟ้องร้องที่ไม่จำเป็น และผู้รับเงินผิดมีแนวโน้มจะคืนมากขึ้น เมื่อคำร้องมาจากองค์กรของรัฐ ไม่ใช่บุคคลทั่วไป 
  • เสริมความเชื่อมั่นต่อองค์กรและนโยบายรัฐ – ทำให้ประชาชนเห็นว่าองค์กรคุ้มครองเงินฝากคือ “safety net” ที่ครอบคลุมกว่าที่คิด

 

บทเรียนสำหรับสถาบันคุ้มครองเงินฝากอื่น

  • การคุ้มครองเงินฝากไม่ควรจำกัดอยู่ที่“เงินฝากในธนาคาร” เท่านั้น แต่ควรขยายไปสู่“การ ปกป้องผู้บริโภคทางการเงิน” 
  • การมีมาตรการ “เยียวยาภายหลัง” (ex-post relief) เช่น โครงการช่วยติดตามเงินโอนผิด เป็น Value Added ที่สร้างภาพลักษณ์องค์กรให้เป็น “safety net” ที่รอบด้าน
  • บทเรียนจากเกาหลีสะท้อนว่าหน่วยงานยังสามารถขยายไปสู่การคุ้มครองผู้บริโภคในรูปแบบใหม่ๆ ตามพัฒนาการของเทคโนโลยีการเงิน นี่คือคุณค่าที่ทำให้องค์กรของเรามีความสำคัญและทันสมัย ในสายตาประชาชน 

กรณีประเทศไทย?

ประเทศไทยก็กำลังเข้าสู่สังคม “โอนเงินด่วน” ไม่ต่างจากเกาหลีใต้ไม่ว่าจะเป็น **PromptPay, Mobile Banking, หรือ e-Wallets** ปัญหาโอนผิดบัญชีก็เริ่มปรากฏชัดขึ้นเช่นกัน“Misdirected Money Transfer” ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ยิ่งการเงินดิจิทัลเติบโตมากขึ้น ปัญหานี้ยิ่งทวีความสำคัญ กรณีศึกษาเกาหลีใต้สอนเราว่า “ความสะดวกต้องมาพร้อมความปลอดภัย” และบทบาทของรัฐหรือองค์กร กลางมีความจำเป็นอย่างยิ่ง

หากไทยสามารถนำแนวทางแบบ KDIC มาปรับใช้ก็จะช่วยให้คนไทยโอนเงินได้อย่างมั่นใจ และมีความ สะดวกสบายทางการเงินดิจิทัล โดยไม่ต้องกังวลว่าเงินจะหายไปกับความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย และมีศูนย์กลางในการดูแลปัญหาให้กับประชาชน


ปรับปรุงล่าสุด 4 ก.ย. 2568

สงวนสิทธิ์โดยสถาบันคุ้มครองเงินฝาก

บทความอื่นๆ

ดูเพิ่มเติม