ระบบคุ้มครองเงินฝากถูกออกแบบมาเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน โดยสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนว่าหากสถาบันการเงินประสบปัญหา ผู้ฝากเงินจะได้รับการชดเชยภายในวงเงินที่กำหนดซึ่งเรียกว่าวงเงินคุ้มครอง (Coverage)
ในหลายประเทศ วงเงินคุ้มครองนี้มักถูกกำ หนดไว้เป็นตัวเลข “คงที่” (Nominal Coverage) โดยไม่ได้ผูกพันกับการเปลี่ยนแปลงของค่าครองชีพหรืออัตราเงินเฟ้อ เมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นการลดมูลค่าของเงินตามเวลา จึงเกิดผลกระทบในลักษณะที่เรียกว่า “ความคุ้มครองที่แท้จริงลดลง” (Real Coverage Erosion) กล่าวคือ แม้จำนวนเงินที่ได้รับการคุ้มครองจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่กำลังซื้อของเงินจำนวนดังกล่าวกลับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
เงินเฟ้อ กระทบ “อัตราส่วนความคุ้มครอง” อย่างไร?
นอกจากระดับความคุ้มครองแล้ว เงินเฟ้อยังส่งผลต่อ “อัตราส่วนความคุ้มครอง” (Coverage Ratio) ซึ่งเป็นสัดส่วนของบัญชีเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองภายใต้วงเงินที่กำหนด
ในบริบทที่ไม่มีการปรับวงเงินคุ้มครอง อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจะ :
หากไม่มีการปรับความคุ้มครองตามสมควร “การคุ้มครองเงินฝาก” อาจกลายเป็นเพียงกลไกที่ล้าสมัย และไม่สามารถตอบโจทย์ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันได้
กรณีศึกษาจากนานาชาติ: ความถี่ในการปรับวงเงินคุ้มครอง
แต่ขณะเดียวกัน หลายประเทศในยุโรปกลับไม่มีการปรับตามเงินเฟ้ออย่างสม่ำเสมอทำให้วงเงินคุ้มครองในเชิงมูลค่าจริงลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง
ประเด็นนโยบาย: ควรปรับอย่างไร?
เพื่อให้ระบบคุ้มครองเงินฝากยังคงตอบโจทย์บทบาทเดิมในการสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบการเงิน ผู้กำ หนดนโยบายควรพิจารณา :
ในโลกที่เงินเฟ้อสามารถลดมูลค่าเงินได้อย่างที่ประชาชนไม่รู้ตัว หากระบบคุ้มครองเงินฝากยังยึดติดกับตัวเลขเดิม ๆ โดยไม่สะท้อนความจริงทางเศรษฐกิจ ระบบนี้อาจสูญเสียศรัทธาในสายตาของประชาชนเพราะสุดท้าย ความมั่นใจในระบบการเงินไม่ได้มาจากเพียง “การมีอยู่” ของการคุ้มครอง แต่อยู่ที่ “ความสามารถของระบบนั้นในการคุ้มครองได้จริง” ในเวลาที่ประชาชนต้องการ
โดย: ฝ่ายวางแผยและวิจัย สถาบันคุ้มครองเงินฝาก
ปรับปรุงล่าสุด 15 ธ.ค. 2568
สงวนสิทธิ์โดยสถาบันคุ้มครองเงินฝาก
Infographics
วิดีโอ
ข่าวประชาสัมพันธ์