เมื่อวงเงินคุ้มครองไม่เปลี่ยน…แต่มูลค่า ลดลง : ความท้าทายจากเงินเฟ้อ

"เงินเฟ้อ" VS "การคุ้มครองเงินฝาก"


ระบบคุ้มครองเงินฝากถูกออกแบบมาเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน โดยสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนว่าหากสถาบันการเงินประสบปัญหา ผู้ฝากเงินจะได้รับการชดเชยภายในวงเงินที่กำหนดซึ่งเรียกว่าวงเงินคุ้มครอง (Coverage)


ในหลายประเทศ วงเงินคุ้มครองนี้มักถูกกำ หนดไว้เป็นตัวเลข “คงที่” (Nominal Coverage) โดยไม่ได้ผูกพันกับการเปลี่ยนแปลงของค่าครองชีพหรืออัตราเงินเฟ้อ เมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นการลดมูลค่าของเงินตามเวลา จึงเกิดผลกระทบในลักษณะที่เรียกว่า “ความคุ้มครองที่แท้จริงลดลง” (Real Coverage Erosion) กล่าวคือ แม้จำนวนเงินที่ได้รับการคุ้มครองจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่กำลังซื้อของเงินจำนวนดังกล่าวกลับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

 

เงินเฟ้อ กระทบ “อัตราส่วนความคุ้มครอง” อย่างไร?

นอกจากระดับความคุ้มครองแล้ว เงินเฟ้อยังส่งผลต่อ “อัตราส่วนความคุ้มครอง” (Coverage Ratio) ซึ่งเป็นสัดส่วนของบัญชีเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองภายใต้วงเงินที่กำหนด

ในบริบทที่ไม่มีการปรับวงเงินคุ้มครอง อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจะ :

  1. ลดสัดส่วนบัญชีที่ได้รับการคุ้มครองเนื่องจากยอดเงินฝากในระบบเพิ่มขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อ แต่ระดับความคุ้มครองคงที่
  2. เพิ่มความเสี่ยงเชิงระบบโดยเฉพาะเมื่อผู้ฝากเงินเริ่มไม่เชื่อมั่นในประสิทธิภาพของระบบคุ้มครอง
  3. สร้างแรงกดดันต่อการกำหนดนโยบายการเงินและเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน

หากไม่มีการปรับความคุ้มครองตามสมควร “การคุ้มครองเงินฝาก” อาจกลายเป็นเพียงกลไกที่ล้าสมัย และไม่สามารถตอบโจทย์ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันได้

กรณีศึกษาจากนานาชาติ: ความถี่ในการปรับวงเงินคุ้มครอง

  • จากรายงาน IADI (2022) พบว่า ในหลายประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ แคนาดา และสหรัฐอเมริกา การปรับระดับวงเงินคุ้มครองมักเกิดขึ้นเมื่อมูลค่าความคุ้มครองใน “ราคาคงที่” สูญเสียไปประมาณ 40–60% จากระดับเดิม ซึ่งสะท้อนแนวโน้มว่าเงินเฟ้อเป็นหนึ่งในตัวกระตุ้นสำคัญในการปรับนโยบายด้านการคุ้มครอง เช่น
  • แคนาดา : ปรับเพิ่มวงเงินในปี 1983 และ 2005 หลังจากมูลค่าความคุ้มครองจริงลดลงกว่า 60% และ 45% ตามลำดับ
  • ฟิลิปปินส์ : ปรับระดับความคุ้มครองหลายครั้ง โดยใช้ “ระดับการสูญเสียมูลค่า” (real loss) เป็นปัจจัยตัดสินใจ เช่น ปี 1991 มี real loss ที่ 55% ก่อนมีการปรับเพิ่ม และล่าสุดในปี 2025

แต่ขณะเดียวกัน หลายประเทศในยุโรปกลับไม่มีการปรับตามเงินเฟ้ออย่างสม่ำเสมอทำให้วงเงินคุ้มครองในเชิงมูลค่าจริงลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง

 

ประเด็นนโยบาย: ควรปรับอย่างไร?

เพื่อให้ระบบคุ้มครองเงินฝากยังคงตอบโจทย์บทบาทเดิมในการสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบการเงิน ผู้กำ หนดนโยบายควรพิจารณา :

  • การจัดทำ กลไกการปรับความคุ้มครองแบบอัตโนมัติ (indexation) ผูกกับอัตราเงินเฟ้อ เช่น ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)
  • กำหนดเกณฑ์ประเมินค่าการสูญเสียเชิงมูลค่า (real loss threshold) เช่น 50% เพื่อเป็นสัญญาณเชิงนโยบาย
  • การสื่อสารเชิงกลยุทธ์เพื่อสร้างความเข้าใจในบทบาทของระบบคุ้มครองเงินฝากในบริบทที่เปลี่ยนไป
  • ติดตามพฤติกรรมการฝากเงินของประชาชนอย่างละเอียดโดยเฉพาะความแตกต่างระหว่างกลุ่มรายได้สูงและต่ำ

 

“ถ้าระบบคุ้มครองไม่ปรับตัว…ผู้ฝากเงินต้องแบกรับความเสี่ยงแทนหรือไม่?”


ในโลกที่เงินเฟ้อสามารถลดมูลค่าเงินได้อย่างที่ประชาชนไม่รู้ตัว หากระบบคุ้มครองเงินฝากยังยึดติดกับตัวเลขเดิม ๆ โดยไม่สะท้อนความจริงทางเศรษฐกิจ ระบบนี้อาจสูญเสียศรัทธาในสายตาของประชาชนเพราะสุดท้าย ความมั่นใจในระบบการเงินไม่ได้มาจากเพียง “การมีอยู่” ของการคุ้มครอง แต่อยู่ที่ “ความสามารถของระบบนั้นในการคุ้มครองได้จริง” ในเวลาที่ประชาชนต้องการ


โดย: ฝ่ายวางแผยและวิจัย สถาบันคุ้มครองเงินฝาก

ปรับปรุงล่าสุด 15 ธ.ค. 2568

สงวนสิทธิ์โดยสถาบันคุ้มครองเงินฝาก

บทความอื่นๆ

ดูเพิ่มเติม