DPA ส่งเสริมความเชื่อมั่นระบบสถาบันการเงินไทย: วิสัยทัศน์ ดร.มหัทธนะ อัมพรพิสิฏฐ์ สู่องค์กรคุ้มครองเงินฝากยุคดิจิทัล

ในโลกที่เทคโนโลยีทางการเงินเปลี่ยนเร็วทั้ง Virtual Bank ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า, AI และระบบชำระเงินดิจิทัลที่เข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมผู้คน “ความเชื่อมั่น” จึงกลายเป็นเรื่องแรกๆ ที่ผู้ใช้บริการทางการเงินให้ความสำคัญ

ดร.มหัทธนะ อัมพรพิสิฏฐ์ ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (DPA) ให้สัมภาษณ์พิเศษถึงบทบาทของสถาบันที่อาจไม่เป็นข่าวบ่อยนัก แต่มีภารกิจสำคัญในการรักษาความเชื่อมั่นของผู้ฝากเงินกว่า 101.7 ล้านบัญชีทั่วประเทศ หน่วยงานที่อยู่เบื้องหลังและเป็นกลไกหนึ่งในการส่งเสริมเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินไทยมากว่า 17 ปี และ DPA กำลังก้าวต่อไปข้างหน้าและต้องปรับตัวให้ทันกับโลกของ Fintech ที่วันนี้ทั้งเทคโนโลยีและ AI เข้ามามีผลต่อการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงิน และเพื่อให้การคุ้มครองเงินฝากมีประสิทธิภาพสามารถสอดรับกับสภาพแวดล้อมการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงินและพฤติกรรมของผู้ฝากในโลกยุคดิจิทัลทั้งในปัจจุบันและอนาคต

 

 

คุ้มครองเงินฝาก 101.7 ล้านบัญชี ในระบบสถาบันการเงินไทย

ทุกวันนี้ ผู้คนใช้จ่าย โอนเงิน หรือฝากเงินผ่านมือถือได้ภายในไม่กี่วินาที โลกการเงินหมุนเร็วกว่าเดิมหลายเท่า แต่ท่ามกลางความสะดวกนี้ คำถามสำคัญยังคงอยู่ 

“ถ้าวันหนึ่งเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ธนาคารที่เราใช้เกิดปัญหาจนถึงขั้นถูกสั่งปิดกิจการ เงินฝากของเราจะปลอดภัยแค่ไหน?”

คำตอบอยู่ที่ “สถาบันคุ้มครองเงินฝาก หรือ DPA (Deposit Protection Agency)” ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ถูกก่อตั้งมาเพื่อให้ทำหน้าที่ชัดเจนตามชื่อหน่วยงาน คือการ “คุ้มครองเงินฝาก” ให้กับผู้ฝากเงินที่ฝากเงินอยู่กับสถาบันการเงินภายใต้ความคุ้มครอง และในวันนี้ภายใต้การนำของ ดร.มหัทธนะ อัมพรพิสิฏฐ์ ผู้อำนวยการของ DPA กำลังนำพา DPA เดินหน้าสู่การเป็น “ผู้ปกป้องคุ้มครองเชิงรุก” บทบาทที่ต้องเพิ่มความเข้มข้น ความพร้อม และการปรับตัวที่รวดเร็วพอที่จะรับมือกับความเสี่ยงที่เปลี่ยนไปในโลกการเงินทุกวันนี้ เพราะไม่มีใครสามารถบอกอนาคตได้ว่าวิกฤตสถาบันการเงินจะเกิดเมื่อไหร่ และเกิดยังไง สถานการณ์ที่ต้องแก้ไขปัญหาเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่ DPA ทำได้คือการเตรียมความพร้อมของทีมและกระบวนการไว้ให้ดีที่สุด

ปัจจุบัน DPA คุ้มครองเงินฝากกว่า 101.7 ล้านบัญชี รวมมูลค่ากว่า 16.25 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ กรกฎาคม 2568) ครอบคลุมสถาบันการเงิน 32 แห่ง ทั้งธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน และเครดิตฟองซิเอร์ และเตรียมขยายไปยัง Virtual Bank  อีก 3 แห่งในปี 2569 ภายใต้วงเงินคุ้มครอง 1 ล้านบาทต่อคนต่อสถาบันการเงิน  ซึ่งครอบคลุมผู้ฝากเงินกว่า 98% ของทั้งระบบ

“ระบบคุ้มครองเงินฝากเป็นกลไกและนโยบายสำคัญของรัฐในการปกป้องคุ้มครองผู้ฝาก โดยเฉพาะรายย่อยที่เป็น กลุ่มใหญ่ของประเทศ หากเกิดเหตุให้สถาบันการเงินถูกสั่งปิดกิจการและถูกเพิกถอนใบอนุญาต DPA จะเข้ามาทำหน้าที่เหมือนเป็นฟองน้ำที่ดูดซับความเดือดร้อน โดยเร่งดำเนินการนำเงินจากกองทุนคุ้มครองเงินฝาก มาจ่ายคืนให้กับผู้ฝาก ภายใต้วงเงินคุ้มครองไม่เกิน 1 ล้านบาท และจะต้องทำให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันซึ่งเป็นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด” ดร.มหัทธนะกล่าว

การทำงานของ DPA จึงเปรียบเสมือนนักดับเพลิงที่เป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยจำกัดการลุกลามของความเดือดร้อนไม่ให้กระจายตัวไปในวงกว้างและกระทบกับเศรษฐกิจในระดับมหภาค

 

มุมมองแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนบัญชีเงินฝากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

ใน 5 ปี ที่ผ่านมา (2564 – 2568) บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ยังคงเป็นที่นิยมมากที่สุดในระบบสถาบันการเงิน โดยเป็นประเภทบัญชีเงินฝากที่มีสัดส่วนเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองสูงสุดมาโดยตลอด แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนระหว่างเงินฝากออมทรัพย์กับเงินฝากประจำบ้างตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยในแต่ละช่วงเวลา โดยในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19  กนง. ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ผลตอบแทนโดยรวมของเงินฝากประจำ ไม่จูงใจผู้ฝากเท่าที่ควร สัดส่วนของเงินฝากจึงถ่ายเทมายังเงินฝากออมทรัพย์ ซึ่งหลังจากที่วัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นเริ่มต้น สัดส่วนเงินฝากประจำได้กลับมาเพิ่มขึ้นตามอัตราผลตอบแทน ทั้งนี้ เมื่อเริ่มเข้าสู่วัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาลง เงินฝากในระบบสถาบันการเงินก็มีแนวโน้มถ่ายเทกลับไปเงินฝากออมทรัพย์อีกครั้ง หลังจากที่เงินฝากประจำเดิมมีการครบกำหนด

ภาพนี้สะท้อนว่า “เงินฝาก” ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่คนไทยไว้วางใจสูงสุด แม้โลกการเงินจะหมุนเร็วขึ้นเพียงใดก็ตาม

นอกจากนี้แนวโน้มของรูปแบบบัญชีเงินฝากในอนาคตต่อจากนี้ สถาบันการเงินในระบบ จะหันมาเน้นการให้บริการผลิตภัณฑ์เงินฝากที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและดึงดูดเงินฝาก ได้แก่ บัญชีเงินฝากแบบดิจิทัล ที่ลดต้นทุนการดำเนินงานจากการไม่ต้องพิมพ์สมุดคู่ฝากและลดการพึ่งพาสาขา ทำให้ธุรกิจสถาบันการเงินสามารถแข่งขันด้านอัตราดอกเบี้ยได้มากขึ้น โดยเงินฝากประจำจะมีความยืดหยุ่นมากขึ้นด้วยการให้ดอกเบี้ยแบบขั้นบันไดและตัวเลือกรับดอกเบี้ยรายเดือน  ขณะที่เงินฝากออมทรัพย์ก็จะมีการออกผลิตภัณฑ์ที่พ่วงการให้บริการอื่น ๆ เช่น ฟีเจอร์การออมอัตโนมัติและการตั้งเป้าหมายทำให้ผู้ฝากต้องเปิดแอปพลิเคชันของธนาคารเป็นประจำเพื่อติดตามความคืบหน้าการออมเงิน การเห็นยอดเงินสะสมที่เพิ่มขึ้นทุกวันพร้อมดอกเบี้ยที่คำนวณแบบเรียลไทม์สร้างแรงจูงใจให้ผู้ฝากกลับมาใช้บริการบ่อยครั้งขึ้น ซึ่งจะสร้างความผูกพันระหว่างธนาคารกับผู้ฝากมากขึ้น

ขณะที่การเปิดให้บริการของ Virtual Bank จะส่งผลให้เกิดการเติบโตของฐานเงินฝากจากกลุ่มผู้ใช้บริการรายใหม่ เมื่อพิจารณาในภาพรวมของระบบการเงินไทยแล้ว ผลกระทบโดยรวมมีแนวโน้มเป็นไปในทิศทางเชิงบวก โดยสอดคล้องกับเป้าหมายยุทธศาสตร์ของประเทศในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างครอบคลุมและเท่าเทียม นอกจากนี้การคุ้มครองเงินฝากยังครอบคลุมถึงธนาคาร Virtual Bank ด้วยเช่นกัน โดยนโยบายการคุ้มครองเงินฝาก ยังคงเหมือนกับสถาบันการเงินอื่นๆ ที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองและวงเงินคุ้มครองไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อ 1 รายผู้ฝากต่อ 1 สถาบันการเงิน

 

ก้าวสู่การเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองเชิงรุก

ในยุคที่โลกการเงินเชื่อมโยงกันมากกว่าที่เคย การเสริมสร้างเสถียรภาพระบบสถาบันการเงินไม่ใช่แค่ “รับมือเมื่อเหตุมาถึง” แต่ต้อง “เตรียมความพร้อมก่อนจะเกิดวิกฤติ” นั่นหมายความว่า DPA ต้องทำงานเชิงลึกและเชิงรุก ทั้งกับข้อมูลและกระบวนการ เพื่อให้จับสัญญาณความเสี่ยงได้ทัน 

“เราต้องเปลี่ยนจากองค์กรที่รอเหตุ มาเป็นองค์กรที่พร้อมก่อนเหตุ การคุ้มครองเงินฝากคือหน้าที่หลัก แต่ในเมื่อเราไม่มีทางรู้แน่ชัดว่าเหตุการณ์นั้นจะมาเมื่อไหร่ การสร้างความพร้อมและการซักซ้อมแผนอย่างสม่ำเสมอ คือสิ่งที่ช่วยเสริมความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ของทีม DPA ทั้งทีมสนับสนุนและทีมด่านหน้าที่ต้องปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการจ่ายเงินคุ้มครอง การชำระบัญชีสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต รวมถึงการสื่อสารกับผู้ฝากและประชาชนให้ทันกับสถานการณ์” ดร. มหัทธนะ อธิบายเพิ่มเติม

ภายใต้ ยุทธศาสตร์ระยะที่ 4 (พ.ศ. 2566–2570) DPA ขับเคลื่อนองค์กรด้วยแนวคิด “READY & Prompt” เพื่อยกระดับการทำงานให้ทันสมัย รวดเร็ว และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ

แนวคิดนี้สะท้อนผ่าน 5 เสาหลักสำคัญ ได้แก่

●         Reimagine Confidence — สร้างภาพลักษณ์ใหม่ของ DPA ให้เป็นสถาบันที่ประชาชนเชื่อมั่นและเข้าถึงง่าย

●         Engagement — เสริมการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน

●         Agility — เพิ่มความคล่องตัวในการตัดสินใจและตอบสนองต่อสถานการณ์

●         Digitalization & Data Analytics — ใช้เทคโนโลยีและข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารและจ่ายเงินคุ้มครอง

●         Year-round Trust — สร้างความเชื่อมั่นต่อเนื่องตลอดทั้งปี ผ่านการดำเนินงานที่โปร่งใสและตรวจสอบได้

“วันนี้ DPA กำลังปรับกระบวนการทำงานให้สามารถทำงานได้อย่างยืดหยุ่นเหมาะกับบริทของเทคโนโลยีและ AI ที่เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญในการบริหารองค์กร และการสร้าง data lake เพื่อรวมศูนย์ข้อมูลที่มีประโยชน์ต่องานเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ ของ DPAเพื่อให้สามารถนำข้อมูลมาช่วยในการตัดสินใจ ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อสถานการณ์ได้ทันเวลา แน่นอนว่าไม่มีใครต้องการให้เกิดเหตุการณ์ที่ DPA ต้องออกมาปฏิบัติหน้าที่ แต่ถ้าสิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง DPA ต้องมีความพร้อมมากพอที่จะรับมือกับสถานการณ์และแรงกดดัน” ดร.มหัทธนะกล่าว

 

สื่อสารเข้าถึงประชาชน พร้อมรับมือภัยในโลกการเงินยุคดิจิทัล

อีกหนึ่งภารกิจสำคัญของ DPA เพื่อสะท้อนการเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองเชิงรุกคือ “การสื่อสารกับประชาชน” เพื่อให้รู้จัก DPA และเข้าใจข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับการคุ้มครองเงินฝาก เพื่อให้สามารถครองสติและไม่ตื่นตระหนกในวันที่สถานการณ์ไม่สู้ดี เกิดข่าวลือเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่กระทบกับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบสถาบันการเงินของประเทศ เพราะหากประชาชนรู้ว่าเงินฝากของตนได้รับความคุ้มครองและมีกระบวนการคุ้มครองที่แน่ชัด ประชาชนจะได้ไม่เกิดความกังวลมากจนถึงขั้นไปแห่ถอนเงิน ซึ่งเป็นสิ่งที่จะยิ่งทำให้การแก้ไขปัญหาทำได้ยากและซับซ้อนขึ้น นอกจากนี้การสื่อสารให้ประชาชนรู้จักกับ DPA มากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นการช่วยประชาชนให้มีภูมิคุ้มกัน สามารถปกป้องคุ้มครองตัวเองจากภัยมิจฉาชีพ ที่แอบอ้างชื่อของ DPA และใช้ข้อมูลการคุ้มครองเงินฝากที่เป็นเท็จไปหลอกลวงประชาชน 

ดร. มหัทธนะ ยังย้ำด้วยว่า “ในยุคที่เทคโนโลยีทางการเงินเติบโตอย่างรวดเร็ว ความเสี่ยงไม่ได้มีแค่เศรษฐกิจเท่านั้น แต่สิ่งที่ใกล้ตัวยิ่งกว่ายังมาจาก “ภัยไซเบอร์และมิจฉาชีพทางการเงิน” ไม่ว่าจะเป็นการหลอกให้โอนเงิน ปลอมเว็บไซต์หน่วยงาน หรือแอบอ้างชื่อหน่วยงานทางการเงิน เช่น การอ้างชื่อ DPA หลอกดูดข้อมูลส่วนตัวของประชาชนโดยอ้างว่าจะนำไปตรวจสอบสิทธิการคุ้มครองเงินฝาก การคุ้มครองเงินฝากนั้นเป็นนโยบายภาครัฐ ผู้ฝากจะได้รับความคุ้มครองอัตโนมัติ ทันทีที่เปิดบัญชีเงินฝากกับสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครอง ไม่มีค่าธรรมเนียม ไม่ต้องส่งข้อมูลตรวจสอบสิทธิใดๆ ทั้งสิ้น หากผู้ฝากได้รับการติดต่อโดยอ้างว่ามาจาก DPA ให้ตัดสายทิ้งทันที เพราะเป็นมิจฉาชีพแน่นอน เนื่องจาก DPA ไม่มีนโยบายในการติดต่อผู้ฝาก” 

ประชาชนที่มีข้อสงสัยหรือได้รับสายที่อ้างชื่อสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ให้ตัดสายทิ้งทันที และโทรสอบถาม ตรวจเช็คข้อมูลการคุ้มครองเงินฝาก จากศูนย์ข้อมูลคุ้มครองเงินฝาก 1158 วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 8.30 – 17.30 น. 

 

DPA หลักประกันความเชื่อมั่น “ผู้ฝากเงิน”

ในยุคที่โลกการเงินเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ทั้งการแข่งขันจากผู้เล่นใหม่ รูปแบบการใช้จ่ายในยุคดิจิทัล ซึ่งไม่ได้นำมาเพียงความสะดวกสบาย แต่ยังนำพาความเสี่ยงรอบด้านมาด้วย DPA จึงต้องปรับปรุงและพัฒนากระบวนการคุ้มครองเงินฝากให้พร้อมรับกับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เพื่อเสริมความเชื่อมั่นให้กับระบบสถาบันการเงินไทย และเป็นหลักประกันที่ทำให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า ไม่ว่าจะเกิดความไม่แน่นอนอะไรขึ้นก็ตาม แต่สิ่งที่แน่นอนสำหรับผู้ฝากคือเงินฝากได้รับการคุ้มครองจาก DPA


ปรับปรุงล่าสุด 4 พ.ย. 2568

สงวนสิทธิ์โดยสถาบันคุ้มครองเงินฝาก